บทที่13
1.การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการควบคุมคุณภาพ
การควบคุมคุณภาพ ( Quality Control ) มักจะใช้การตรวจเช็คด้วยมือ โดยใช้หลักการทางสถิติเข้าช่วย โอกาสที่จะมีชิ้นงานหรือสินค้าซึ่งมีคุณภาพไม่ผ่านการตรวจเช็คหลุดออกไปก็มี และจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดในการควบคุมคุณภาพลักษณนก็คือ การตรวจเช็คจะทำก็ต่อเมื่อชิ้นงานเสร็จแล้ว ดังนั้นหากตรวจพบควรผิดพลาดก็ต้องกลับไปแก้ไขตั้งแต่จุดเริ่มต้น
การควบคุมคุณภาพ ( Quality Control ) มักจะใช้การตรวจเช็คด้วยมือ โดยใช้หลักการทางสถิติเข้าช่วย โอกาสที่จะมีชิ้นงานหรือสินค้าซึ่งมีคุณภาพไม่ผ่านการตรวจเช็คหลุดออกไปก็มี และจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดในการควบคุมคุณภาพลักษณนก็คือ การตรวจเช็คจะทำก็ต่อเมื่อชิ้นงานเสร็จแล้ว ดังนั้นหากตรวจพบควรผิดพลาดก็ต้องกลับไปแก้ไขตั้งแต่จุดเริ่มต้น
เมื่อระบบไมโครโปรเซสเซอร์ก้าวหน้าขึ้น อีกทั้งอุปกรณ์หัววัด ( Sensor ) ได้รับการพัฒนาประยุกต์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้มีการพัฒนาใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยในการควบคุมคุณภาพขึ้น
2.วัตถุประสงค์
1. ให้คุณภาพของสินค้าที่ผลิตดีขึ้น
2. เพื่อเพิ่มผลผลิต
3. เพื่อลดเวลาที่ใช้ในการผลิต
หากระบบได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสม จะทำให้การตรวจเช็คคุณภาพสินค้าได้ถึง 100 % นอกจากนี้หากตรวจพบข้อผิดพลาดที่จุดใด ข้อมูลที่ตรวจพบก็สามารถป้อนกลับ ( Feed back) ไปยังหน่วยผลิตเพื่อแก้ไขได้ทันที
3.การตรวจเช็ก
การตรวจเช็คโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วย
1. แบบสัมผัส
2. แบบไม่สัมผัส
การตรวจเช็คด้วยอุปกรณ์หัววัดแบบสัมผัส
• โดยอาศัยเครื่องมือวัดตำแหน่ง
• โดยอาศัยหัววัดทางกล ( Mechanical Probes )
การตรวจเช็คด้วยอุปกรณ์หัววัดแบบสัมผัส
ใช้ในกรณีที่ต้องการทราบขนาดของชิ้นงานอย่างละเอียด โดยอุปกรณ์ที่ใช้กันมากคือ เครื่องมือวัดพิกัด ( Coordinate Measuring Machine : CMM )
การตรวจเช็คแบบไม่สัมผัส
1. ใช้เทคนิคทางแสง
• Machine Vision
• Scanning Laser Beam Devices
• Photogrmametry
2. ไม่ใช้เทคนิคทางแสง
• เทคนิคทางสนามไฟฟ้า
• เทคนิคทางรังสี
• เทคนิคทางคลื่นเสียงความถี่สูง
การตรวจเช็คแบบไม่สัมผัส
ข้อดีเมื่อเปรียบเทียบกับแบบสัมผัส
• ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตำแหน่งชิ้นงานขณะทำการตรวจเช็ค
• การตรวจเช็คทำได้เร็วกว่า
• ลดอันตรายในกรณีที่ต้องตรวจเช็ควัสดุที่มีอันตราย
• ผิดชิ้นงานไม่เกิดความเสียหายเนื่องจากโดนสัมผัส
การตรวจเช็คแบบไม่สัมผัส แบบใช้เทคนิคทางแสง
ใช้ระบบอิงเทคโนโลยีทางอิเล็กทรอนิกส์และการประมวลผลทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงและราคาถูก เช่น
• Photocell
• Photo Diode
แบบใช้เทคนิคทางแสง
1. Machine Vision
คือ ระบบที่ให้เครื่องมือตรวจเช็คสามารถรับรู้ได้คล้ายตาเห็นประกอบส่วนต่าง ๆ กล้องโทรทัศน์ และ คอมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะการทำงานคือ
1. กล้องโทรทัศน์ จะจับภาพวัตถุที่ต้องการตรวจเช็ค
2. ภาพที่ได้จะถูกส่งเข้าไปในคอมพิวเตอร์
3. คอมพิวเตอร์ จะจัดการประมวลผลข้อมูลที่มองเห็น
4. คอมพิวเตอร์จะสร้างภาพขึ้นจากข้อมูลที่ประมวลผลได้
5. แล้วนำมาเปรียบเทียบข้อมูลที่อ่านได้กับข้อมูลภาพที่เก็บไว้
การประยุกต์ใช้งาน Machine Vision
• การตรวจเช็คสลากปิดขวด หรือ กล่องว่าอยู่ที่ตำแหน่งถูกต้องหรือไม่
• ใช้ในการอ่านตัวอักษร
• ตรวจเช็คว่ามีส่วนใดของอุปกรณ์หายไป
• ใช้ตรวจหาความผิดปกติของเส้นนำกระแสแผ่นวงจร
• ใช้ตรวจหาวัสดุที่สงสัยว่ามีร้อยร้าวหรือไม่
2. Scanning Laser Beam Device
ใช้ในงานที่ต้องการความละเอียดสูง ส่งไปได้ระยะไกล และไม่มีการกระจายของแสง ส่วนใหญ่ใช้ในการกับเวลา
3. Photogrammetry
ใช้หลักการสร้างภาพทางธรณีวิทยา เป็นภาพ 3 มิติ โดยใช้กล้อง 2 กล้องวางที่ตำแหน่งมุมต่างๆ เพื่อหาตำแหน่งพิกัดของตำแหน่งของวัตถุ แล้วนำไปวิเคราะห์ในคอมพิวเตอร์
การตรวจเช็คแบบไม่สัมผัส แบบไม่ใช้เทคนิคทางแสง
• ใช้เทคนิคของสนามไฟฟ้า
• ใช้เทคนิคของรังสี
• ใช้เทคนิคของคลื่นเสียงความถี่สูง
ใช้เทคนิคทางรังสี
ใช้ในงานทางด้านโลหะและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโลหะ โดยการวัดปริมาณของรังสีที่ถูกดูดกลืนในวัสดุ โดยใช้วัดหาความหนา และคุณสมบัติอื่น ๆ ของสารได้ เช่น ใช้ X-RAY ตรวจจับความหนาของแผ่นเหล็ก
3.การตรวจเช็ก
การตรวจเช็คโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วย
1. แบบสัมผัส
2. แบบไม่สัมผัส
การตรวจเช็คด้วยอุปกรณ์หัววัดแบบสัมผัส
• โดยอาศัยเครื่องมือวัดตำแหน่ง
• โดยอาศัยหัววัดทางกล ( Mechanical Probes )
การตรวจเช็คด้วยอุปกรณ์หัววัดแบบสัมผัส
ใช้ในกรณีที่ต้องการทราบขนาดของชิ้นงานอย่างละเอียด โดยอุปกรณ์ที่ใช้กันมากคือ เครื่องมือวัดพิกัด ( Coordinate Measuring Machine : CMM )
การตรวจเช็คแบบไม่สัมผัส
1. ใช้เทคนิคทางแสง
• Machine Vision
• Scanning Laser Beam Devices
• Photogrmametry
2. ไม่ใช้เทคนิคทางแสง
• เทคนิคทางสนามไฟฟ้า
• เทคนิคทางรังสี
• เทคนิคทางคลื่นเสียงความถี่สูง
การตรวจเช็คแบบไม่สัมผัส
ข้อดีเมื่อเปรียบเทียบกับแบบสัมผัส
• ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตำแหน่งชิ้นงานขณะทำการตรวจเช็ค
• การตรวจเช็คทำได้เร็วกว่า
• ลดอันตรายในกรณีที่ต้องตรวจเช็ควัสดุที่มีอันตราย
• ผิดชิ้นงานไม่เกิดความเสียหายเนื่องจากโดนสัมผัส
การตรวจเช็คแบบไม่สัมผัส แบบใช้เทคนิคทางแสง
ใช้ระบบอิงเทคโนโลยีทางอิเล็กทรอนิกส์และการประมวลผลทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงและราคาถูก เช่น
• Photocell
• Photo Diode
แบบใช้เทคนิคทางแสง
1. Machine Vision
คือ ระบบที่ให้เครื่องมือตรวจเช็คสามารถรับรู้ได้คล้ายตาเห็นประกอบส่วนต่าง ๆ กล้องโทรทัศน์ และ คอมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะการทำงานคือ
1. กล้องโทรทัศน์ จะจับภาพวัตถุที่ต้องการตรวจเช็ค
2. ภาพที่ได้จะถูกส่งเข้าไปในคอมพิวเตอร์
3. คอมพิวเตอร์ จะจัดการประมวลผลข้อมูลที่มองเห็น
4. คอมพิวเตอร์จะสร้างภาพขึ้นจากข้อมูลที่ประมวลผลได้
5. แล้วนำมาเปรียบเทียบข้อมูลที่อ่านได้กับข้อมูลภาพที่เก็บไว้
การประยุกต์ใช้งาน Machine Vision
• การตรวจเช็คสลากปิดขวด หรือ กล่องว่าอยู่ที่ตำแหน่งถูกต้องหรือไม่
• ใช้ในการอ่านตัวอักษร
• ตรวจเช็คว่ามีส่วนใดของอุปกรณ์หายไป
• ใช้ตรวจหาความผิดปกติของเส้นนำกระแสแผ่นวงจร
• ใช้ตรวจหาวัสดุที่สงสัยว่ามีร้อยร้าวหรือไม่
2. Scanning Laser Beam Device
ใช้ในงานที่ต้องการความละเอียดสูง ส่งไปได้ระยะไกล และไม่มีการกระจายของแสง ส่วนใหญ่ใช้ในการกับเวลา
3. Photogrammetry
ใช้หลักการสร้างภาพทางธรณีวิทยา เป็นภาพ 3 มิติ โดยใช้กล้อง 2 กล้องวางที่ตำแหน่งมุมต่างๆ เพื่อหาตำแหน่งพิกัดของตำแหน่งของวัตถุ แล้วนำไปวิเคราะห์ในคอมพิวเตอร์
การตรวจเช็คแบบไม่สัมผัส แบบไม่ใช้เทคนิคทางแสง
• ใช้เทคนิคของสนามไฟฟ้า
• ใช้เทคนิคของรังสี
• ใช้เทคนิคของคลื่นเสียงความถี่สูง
ใช้เทคนิคทางรังสี
ใช้ในงานทางด้านโลหะและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโลหะ โดยการวัดปริมาณของรังสีที่ถูกดูดกลืนในวัสดุ โดยใช้วัดหาความหนา และคุณสมบัติอื่น ๆ ของสารได้ เช่น ใช้ X-RAY ตรวจจับความหนาของแผ่นเหล็ก