วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ช่วยในการควบคุมคุณภาพ


 บทที่13
 
 
  
1.การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการควบคุมคุณภาพ
   
                 การควบคุมคุณภาพ ( Quality Control )     มักจะใช้การตรวจเช็คด้วยมือ     โดยใช้หลักการทางสถิติเข้าช่วย โอกาสที่จะมีชิ้นงานหรือสินค้าซึ่งมีคุณภาพไม่ผ่านการตรวจเช็คหลุดออกไปก็มี   และจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดในการควบคุมคุณภาพลักษณนก็คือ  การตรวจเช็คจะทำก็ต่อเมื่อชิ้นงานเสร็จแล้ว      ดังนั้นหากตรวจพบควรผิดพลาดก็ต้องกลับไปแก้ไขตั้งแต่จุดเริ่มต้น
 
     เมื่อระบบไมโครโปรเซสเซอร์ก้าวหน้าขึ้น อีกทั้งอุปกรณ์หัววัด ( Sensor ) ได้รับการพัฒนาประยุกต์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้มีการพัฒนาใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยในการควบคุมคุณภาพขึ้น 
 
 
2.วัตถุประสงค์
 
     1. ให้คุณภาพของสินค้าที่ผลิตดีขึ้น
     2. เพื่อเพิ่มผลผลิต
     3. เพื่อลดเวลาที่ใช้ในการผลิต
        
          หากระบบได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสม  จะทำให้การตรวจเช็คคุณภาพสินค้าได้ถึง 100 %  นอกจากนี้หากตรวจพบข้อผิดพลาดที่จุดใด ข้อมูลที่ตรวจพบก็สามารถป้อนกลับ ( Feed back) ไปยังหน่วยผลิตเพื่อแก้ไขได้ทันที


3.การตรวจเช็ก
 
 
 
การตรวจเช็คโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วย
 
1. แบบสัมผัส
2. แบบไม่สัมผัส
  

การตรวจเช็คด้วยอุปกรณ์หัววัดแบบสัมผัส
 
 
          โดยอาศัยเครื่องมือวัดตำแหน่ง
           โดยอาศัยหัววัดทางกล ( Mechanical Probes )
  
การตรวจเช็คด้วยอุปกรณ์หัววัดแบบสัมผัส
 ใช้ในกรณีที่ต้องการทราบขนาดของชิ้นงานอย่างละเอียด โดยอุปกรณ์ที่ใช้กันมากคือ  เครื่องมือวัดพิกัด ( Coordinate Measuring Machine  :  CMM )
  
การตรวจเช็คแบบไม่สัมผัส
 
1. ใช้เทคนิคทางแสง
     Machine Vision
     Scanning Laser Beam Devices
     Photogrmametry
 
2. ไม่ใช้เทคนิคทางแสง
      เทคนิคทางสนามไฟฟ้า
      เทคนิคทางรังสี
      เทคนิคทางคลื่นเสียงความถี่สูง
 
การตรวจเช็คแบบไม่สัมผัส
 ข้อดีเมื่อเปรียบเทียบกับแบบสัมผัส
           ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตำแหน่งชิ้นงานขณะทำการตรวจเช็ค
           การตรวจเช็คทำได้เร็วกว่า
           ลดอันตรายในกรณีที่ต้องตรวจเช็ควัสดุที่มีอันตราย
           ผิดชิ้นงานไม่เกิดความเสียหายเนื่องจากโดนสัมผัส
 
 
การตรวจเช็คแบบไม่สัมผัส แบบใช้เทคนิคทางแสง 
 ใช้ระบบอิงเทคโนโลยีทางอิเล็กทรอนิกส์และการประมวลผลทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงและราคาถูก เช่น
 
     •     Photocell
     •     Photo Diode
   
แบบใช้เทคนิคทางแสง
 1. Machine Vision
           คือ    ระบบที่ให้เครื่องมือตรวจเช็คสามารถรับรู้ได้คล้ายตาเห็นประกอบส่วนต่าง ๆ  กล้องโทรทัศน์ และ คอมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะการทำงานคือ
 
    1. กล้องโทรทัศน์ จะจับภาพวัตถุที่ต้องการตรวจเช็ค
    2. ภาพที่ได้จะถูกส่งเข้าไปในคอมพิวเตอร์
    3. คอมพิวเตอร์ จะจัดการประมวลผลข้อมูลที่มองเห็น
    4. คอมพิวเตอร์จะสร้างภาพขึ้นจากข้อมูลที่ประมวลผลได้
    5. แล้วนำมาเปรียบเทียบข้อมูลที่อ่านได้กับข้อมูลภาพที่เก็บไว้
  
การประยุกต์ใช้งาน Machine Vision
           การตรวจเช็คสลากปิดขวด หรือ กล่องว่าอยู่ที่ตำแหน่งถูกต้องหรือไม่
           ใช้ในการอ่านตัวอักษร
           ตรวจเช็คว่ามีส่วนใดของอุปกรณ์หายไป
           ใช้ตรวจหาความผิดปกติของเส้นนำกระแสแผ่นวงจร
           ใช้ตรวจหาวัสดุที่สงสัยว่ามีร้อยร้าวหรือไม่
 
 
2. Scanning Laser Beam Device
          ใช้ในงานที่ต้องการความละเอียดสูง  ส่งไปได้ระยะไกล และไม่มีการกระจายของแสง  ส่วนใหญ่ใช้ในการกับเวลา
  
3. Photogrammetry
          ใช้หลักการสร้างภาพทางธรณีวิทยา   เป็นภาพ 3 มิติ  โดยใช้กล้อง 2 กล้องวางที่ตำแหน่งมุมต่างๆ  เพื่อหาตำแหน่งพิกัดของตำแหน่งของวัตถุ แล้วนำไปวิเคราะห์ในคอมพิวเตอร์
 
 การตรวจเช็คแบบไม่สัมผัส แบบไม่ใช้เทคนิคทางแสง
 
    ใช้เทคนิคของสนามไฟฟ้า
    ใช้เทคนิคของรังสี
    ใช้เทคนิคของคลื่นเสียงความถี่สูง
  
ใช้เทคนิคทางรังสี
    ใช้ในงานทางด้านโลหะและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับโลหะ โดยการวัดปริมาณของรังสีที่ถูกดูดกลืนในวัสดุ   โดยใช้วัดหาความหนา และคุณสมบัติอื่น ๆ ของสารได้ เช่น ใช้ X-RAY ตรวจจับความหนาของแผ่นเหล็ก
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น